แรงงานไทยผวา บริษัทดัง เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่ 7,500 คน

แรงงานไทยผวา บริษัทดัง เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่ 7,500 คน

 

ยูนิลีเวอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษ เปิดเผยว่า เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่เป็นจำนวนมากถึง 7,500 คนทั่วโลก หรือคิดเป็น 5.9% ของจำนวนพนักงานในปัจจุบันที่มีอยู่ราว 128,000 คนทั่วโลก และตัดสินใจแยกธุรกิจไอศกรีมที่มี 2 แบรนด์ดัง ได้แก่ เบนแอนด์เจอรี่ และแม็กนัม ออกเป็นอิสระจากยูนิลีเวอร์ สาเหตุจากเป็นไปตามนโยบายการตัดลดค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกในภาพรวมที่ชะลอตัว

การประกาศแผนการตัดลดค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมถึงการแยกธุรกิจไอศกรีมออกไปโดยให้เริ่มต้นขั้นตอนการแยกธุรกิจดังกล่าวทันที กลายเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุน และผู้ถือหุ้นบริษัทยูนิลีเวอร์ ด้วยการเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก ส่งผลราคาหุ้นบริษัทยูนิลีเวอร์พุ่งทะยานถึง 6% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ สำหรับการแยกธุรกิจไอศกรีมนั้น คาดว่าจะใช้เวลาราว 1 ปีครึ่ง ไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในสิ้นปี 2025 สำหรับธุรกิจไอศกรีมของยูนิลีเวอร์นั้น สามารถสร้างรายได้ถึง 16% ของรายได้รวมทั่วโลก ที่สำคัญ ในบางประเทศ พบว่าธุรกิจไอศกรีมมีกำไรสูงถึง 40% ด้วย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายไฮน์ ชูมัคเชอร์ กล่าวว่า การแยกธุรกิจไอศกรีมที่ลงมือทำทันที จะรวมถึงการแยกสำนักงานออกจากสำนักงานใหญ่ที่อัมสเตอร์ดัมด้วย แต่ได้เปิดทางเลือกให้ฝ่ายบริหารธุรกิจไอศกรีมได้ตัดสินใจว่าจะแยกสำนักงานไปตั้งที่ใดก็ได้ เมื่อดำเนินการตัดลดค่าใช้จ่ายควบคู่กับการแยกธุรกิจไอศกรีม ทำให้ตั้งเป้าหมายว่ายูนิลีเวอร์จะสามารถสร้างผลประกอบการโดยเฉพาะยอดขายทั่วโลกได้ถึงช่วงกลางของตัวเลขหลักเดียวได้ และทำผลกำไรปานกลางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ซีอีโอยูนิลีเวอร์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น สบู่ยี่ห้อโดฟ มาร์ไมท์ และเฮลล์แมน จะถูกนำเสนอโปรแกรมตัดลดค่าใช้จ่ายในแบรนด์เหล่านี้ด้วย โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายที่ 800 ล้านยูโร หรือ 869 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 31,284 ล้านบาท ส่งผลให้ต้นทุนในการปรับโครงสร้างทั้งหมดจะคิดเป็น 1.2% ของผลการดำเนินงานในช่วงเวลานั้น

ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2023 ผ่านมา ซีอีโอยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า บริษัทจะเน้นความสำคัญและให้น้ำหนักกับ 30 แบรนด์สำคัญของบริษัท ซึ่งทำยอดขายได้รวมถึง 70% ของยอดขายทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงผลกำไรรวมของบริษัทให้ดีขึ้น และจะไม่ใช้นโยบายการควบรวมกิจการเพื่อสร้างผลประกอบการในทางก้าวกระโดด