สาวอายุน้อยป่วยตับวายระยะ 4 เตือนเป็นอุทาหรณ์ 5 พฤติกรรมทำลายตับ โดยเฉพาะตอนเช้าอย่าทำแบบนี้!
Soha รายงานว่า ผู้ป่วยเป็นชาวจังหวัดนามดิงห์ ประเทศเวียดนาม ไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน จนกระทั่งมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง คลื่นไส้ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว และหมดสติจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน แพทย์ตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นโรคตับวายระยะที่ 4 จากการละเลยพฤติกรรมการกินที่ดูเหมือนไม่มีผลเสีย แต่แท้จริงแล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
เธอเล่าว่าในช่วง 6 เดือน น้ำหนักลดไป 15 กิโลกรัม รู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืด และไม่ค่อยอยากอาหาร สาเหตุหลักมาจากการไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพตับ
- 
งดอาหารเช้าเป็นเวลานาน
- 
ตับต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
 - 
กระตุ้นฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ส่งผลเสียต่อตับและระบบเผาผลาญ
 
 - 
 - 
เลือกอาหารเช้าที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ไส้กรอก
- 
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับ (NAFLD)
 - 
ทำให้ตับอักเสบหรือเกิดภาวะตับแข็งในระยะยาว
 
 - 
 - 
กินยาและอาหารเสริมขณะท้องว่าง
- 
ยาบางชนิด เช่น พาราเซตามอล ยาแก้อักเสบ NSAIDs หากรับประทานผิดเวลา อาจทำให้ตับเสียหาย
 - 
ข้อมูลจากวารสาร Liver International ระบุว่า 25% ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันเกี่ยวข้องกับการใช้ยาผิดวิธี
 
 - 
 - 
ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะช่วงเช้า
- 
ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ส่งผลให้ตับทำงานหนักขึ้น
 - 
การเคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น เดินเล่น โยคะ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและขับสารพิษออกจากตับ
 
 - 
 - 
นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
- 
กระทบต่อระดับน้ำตาลและฮอร์โมนความเครียด
 - 
ตับมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมร่างกายตอนกลางคืน
 
 - 
 

วิธีเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างถูกต้องเพื่อดูแลตับ:
- 
ดื่มน้ำอุ่นทันทีหลังตื่นนอน ช่วยกระตุ้นระบบย่อยและการขับสารพิษ
 - 
ทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนดี ไขมันต่ำ ใยอาหารสูง เช่น ไข่ต้ม นมถั่วเหลือง โยเกิร์ตไม่หวาน
 - 
หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน
 - 
เคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ อย่างน้อย 5-10 นาที หลังตื่นนอน
 - 
ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาและอาหารเสริม โดยเฉพาะเมื่อท้องว่าง
 
บทเรียนจากกรณีนี้คือ โรคตับวายไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มักละเลยพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การงดอาหารเช้า นอนดึก หรือกินยาผิดเวลา ดังนั้นการดูแลตับอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรรอให้มีอาการรุนแรงจึงจะเริ่มดูแลตัวเอง