นิมนต์พระทำบุญบ้าน เจอคำพูดแต่ละคำทำหน้าชา อึ้งขอค่าธรรมเนียมเจิมบ้าน

เหมาะสมมั้ย? รีวิวนิมนต์พระมาทำบุญบ้าน เจอคำพูดแต่ละคำทำหน้าชา พฤติกรรมเหวี่ยง ซ้ำเจอคิดค่าธรรมเนียมเจิมบ้าน 1,000 บาท

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 7 ได้โพสต์เรื่องราวของคนที่นิมนต์พระขึ้นบ้านใหม่ แต่กลับต้องเจอพฤติกรรมและคำพูดของพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่ดูจะเห็นแก่เงินปัจจัยจนเกินงามและดูไม่เหมาะสม โดยทางเพจได้มีการระบุข้อความว่า “ใส่สบงแล้วทรงขอค่าเจิมบ้าน วัดแถวคลอง 6 ลำลูกกา ฝากเป็นวิทยาทานให้สังคมด้วยครับ อาชีพพระ หรือ พระอาชีพ?”

 

นิมนต์พระทำบุญบ้าน เจอคำพูดแต่ละคำทำหน้าชา อึ้งขอค่าธรรมเนียมเจิมบ้านนิมนต์พระทำบุญบ้าน เจอคำพูดแต่ละคำทำหน้าชา อึ้งขอค่าธรรมเนียมเจิมบ้าน

ตอนแรกว่าจะ “ปล่อยผ่าน” แต่พอมาคิดดูอีกที ก็อยากให้เป็นวิทยาทานกับสังคมเกี่ยวพฤติกรรมของ “พระ” บางรูป หรือ “บางคน” ที่อาศัยผ้าเหลืองเป็น “อาชีพ”

ขอย้อนความนิดนึง เราได้ฤกษ์การจัดงานบุญขึ้นบ้านใหม่จากหลวงลุงที่เราศรัทธา โดยฤกษ์คือวันที่ 6 เม.ย. โดยตั้งใจจะนิมนต์หลวงลุงและพระที่วัด แต่ทางวัดมีจัดงานบวชสามเณร เราจึงเกรงใจทางวัด และคิดว่าจะนิมนต์พระจากวัดใกล้ๆบ้าน

เราจัดงานทำบุญบ้าน โดยวัดที่เลือกเป็นวัดใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในการรับ-ส่งพระ ซึ่งก่อนถึงวันงาน ได้เข้าไปที่วัดและได้สอบถามเจ้าอาวาส แต่ก็ได้ฟังบางคำพูดที่ทำให้รู้สึกไม่ดี เช่น

1. จัดงานยังไง จัดเองหรือจ้างอีเวนท์จัด และกับข้าวพระจะจัดเป็นกล่องๆ (เบนโตะเซ็ท) หรือจัดเป็นจานๆ “พระกินข้าวมื้อเดียว ถ้าให้น้อยพระก็ไม่อิ่ม” จากคำพูดนี้ เราพอเข้าใจ

2. ซองปัจจัย “ถ้าใส่เยอะ พระก็ยิ้ม แต่ถ้าใส่น้อย พระก็ร้องไห้” พอได้ฟังประโยคนี้ เราอยากกลับบ้านทันที แต่ก็คิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะใจเราอยากนิมนต์พระลูกวัดรูปหนึ่งที่เคยเป็นพระพี่เลี้ยง สมัยเรามาบวชช่วงสั้นๆ แต่มารู้ตอนหลังว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว

3. หลังจากได้ฟังคำพูดเบื้องต้น ใจหนึ่งก็อยากเปลี่ยนวัด แต่อีกใจก็มองว่า ช่วงใกล้สงกรานต์กลัวจะไม่มีพระ (เรื่องนี้เราขาดประสบการณ์เอง และต้องการที่เตรียมงานให้เสร็จ เพราะงานเราเองก็ยุ่งมากๆ)

ต่อมาเมื่อวันงาน ทางร้านที่เราจ้างมาก็มาจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้เรียบร้อย (ร้านนี้จัดงานดี บริการดี และอาหารอร่อยด้วย) และเราก็เปิดแอร์ห้องด้านที่จัดงานไว้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า เนื่องจากอากาศวันนั้นร้อนมาก ๆ

พอเข้าสู่พิธีการดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเดิมเราใส่ปัจจัยที่จะถวายให้ในจำนวนหนึ่ง แต่พอได้ฟังพระสวดให้พร ก็รู้สึกดี และได้ให้พี่สาวเพิ่มจำนวนปัจจัยแต่ละซองอีกเล็กน้อย

แต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังพระทำพิธีการเสร็จ ก็มีพระรูปหนึ่ง เป็นพระอาวุโสในวัดนี้ พูดเสียงดังต่อหน้าแขกที่อยู่ด้านในบ้านว่า “ถ้าจัดงานแบบนี้ ร้อนอบอ้าว ไปจัดกลางทุ่งนาดีกว่า อึดอัด” แค่นั้นยังไม่พอ หลังเดินออกมาตรงด้านหน้าบ้าน ซึ่งมีแขกมากกว่า 20 คน พระรูปเดิมก็พูดในลักษณะแบบเดียวกัน ก่อนจะเดินขึ้นรถตู้ไป

จากคำพูดของรูปนั้น เราก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่า ทำไมต้องพูดแบบนี้ แต่มีสิ่งที่แย่กว่านั้น คือการเจิมบ้าน โดยพระที่เจิม เป็นพระมหา ซึ่งตอนแรกก็เจิมให้ปกติ แต่พอจังหวะที่จะต้องพรมน้ำมนต์ภายในบ้าน ช่วงที่ขึ้นไปชั้นสองของบ้าน พระมหารูปนี้ บอกกับเราว่า “ขอค่าธรรมเนียมเจิมบ้าน 1000 บาท” พอได้ยินเราก็ทำเฉยๆใส่ ไม่สนใจ

แต่พระมหารูปนี้ไม่หยุด โดยช่วงที่ไปพรมน้ำมนต์ภายในห้องพระเรา ก็พูดประโยคเดิมซ้ำอีกถึง 2 รอบ (ขอค่าธรรมเนียม 3 รอบ) เราคิดเลยว่า ถ้ากล้าขอขนาดนี้ กูให้ก็ได้ แต่ “วัดนี้กับกูเลิกกัน”

ปล.เรื่องที่นำมาเล่า ใครที่ฟังหรืออ่านแล้ว จะมองว่าหรือด่าเราเป็นแบบไหนก็ได้นะ แต่ที่เราให้เงินพระไป เพราะว่า งานบุญบ้านเรา เราไม่อยากให้มีอะไรมาสะดุด ซึ่งตอนแรกก็อยากจะปล่อยผ่าน แต่พอคิดแล้วคิดอีก ก็ขอเอาเรื่องนี้มาเผยแพร่เป็นวิทยาทาน หรือมุมมองสังคม หากใครจะมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่านจะคิดและมองครับ ปล.กรุณาคอมเมนต์อย่างสร้างสรรค์นะ

 

ขอบคุณ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 7