แพทย์หญิง อายุ 55 ปี ร้องสื่อวอนช่วยประสานให้ได้พบกับสามี ซึ่งเป็นนายแพทย์ท่านหนึ่ง อายุ 64 ปี เป็นอาจารย์หมอประจำโรงพยาบาลดัง ที่แต่งงาน จดทะเบียนสมรสกันมากว่า 25 ปี แต่กลับถูกทางครอบครัวสามี บังคับให้แยกกัน เอาตัวสามีไปโดยไม่บอกกล่าว ทำให้ตนเองได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นอย่างมาก เพราะไม่สามารถติดต่อสามีได้เลยโทรศัพท์มือถือก็เปลี่ยนเบอร์ ตนกินไม่ได้นอนไม่หลับมานานเกือบจะ 2 ปี แล้ว
แพทย์หญิงกล่าวทั้งน้ำตาว่า สามีถูกพี่ชายพาตัวไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 65 โดยบอกว่าจะมารับสามีไปทานข้าวแล้วก็หายไปเลย โดยไม่บอกตนว่าอยู่ไหน ตลอดเวลาเราอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลยแม้สักครั้งเดียว ตนออกตามหาตลอดเวลา ทราบว่าสามีไปอยู่กับพี่ชายที่คอนโดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาทุกวันนี้ ตนก็ไม่ได้ทำงานต้องหยุดงานในระยะยาว เพราะไม่มีสมาธิทำงาน เกรงว่าหากทำงานไปจะผิดพลาดขึ้นมาได้ ตนอยากให้ครอบครัวคืนสามีมาให้ตนด้วย เพราะเป็นห่วงเขามาก
พ่อแม่ของสามี เสียชีวิตไปหมดแล้ว หากครอบครัวสามีระแวงคิดว่าตนจะไปข้องแวะแตะต้องสมบัติของตระกูลเขา ยืนยันเลยว่าไม่เคยคิดแบบนั้น ตนมีเงินมากพอที่จะกินใช้และดูแลสามีไปได้ตลอดชีวิต แม้ตอนนี้จะหยุดทำงานทั้งสองคน ก็ยังมีเงินที่จะพอกินพอใช้ไปตลอด จึงไม่เคยคิดสนใจในทรัพย์สมบัติของครอบครัวของสามีเลย
ตนบอกกับตัวเองเสมอว่าทุกวันนี้ตายไม่ได้ เพราะสามีไม่มีใครแล้ว เราสองคนเคยมีความรักให้กันทุกวัน สามีเคยให้ดอกไม้ทุกปี ไม่ใช่แค่เฉพาะวันวาเลนไทน์ บางโอกาสในบางวัน คุณหมอก็เซอร์ไพรส์ให้ดอกไม้มาเสมอ ตลอดเวลาที่อยู่กินกันมา 25 ปี คุณหมอออกไป ทำงานที่ รพ.ก็จะทักมาตลอด ส่งข้อความมาว่า คิดถึงนะ, ทานข้าวกัน, รักมากนะ
แม้กระทั่งวันที่ สามีหายไปก็ยังบอกรักตนเองอยู่เลย ตนทราบจากคนใกล้ชิดว่าสามีของตนเองทุกวันนี้มีสภาพไม่ต่างจากซอมบี้ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อยากจะได้ตัวสามีกลับมา อยากจะรักษาเขาให้กลับมาเหมือนเดิมมีศักยภาพในการรักษาดูแลคนไข้ ไม่ใช่เป็นคนหลงๆลืมๆ
ทุกวันนี้ตนไม่กล้ากลับเข้าไปในบ้านหรูที่อยู่กันมา 2 คน นานนับหลาย 10 ปี เพราะไม่สามารถรับสภาพจิตใจที่กลับบ้านไปแล้วต้องอยู่คนเดียว คิดถึงภาพอดีตรักที่หวานชื่น ตนต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดเพื่อนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ ฝึกใจให้เข้มแข็งและพูดกับตัวเองเสมอว่าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้เพื่อหาทางช่วยสามี หากตนไม่เข้าวัดนั่งสมาธิสงบจิตใจป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้ว ตนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนและสามีทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ทางด้าน ทนายความรับมอบอำนาจจากแพทย์หญิง เผยว่า เบื้องต้นได้ดำเนินการยื่นฟ้องพี่ชายของสามี และ รพ.ในเรื่องของการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นคดีกักขังหน่วงเหนี่ยวที่กักขังเอาไว้ และอีกประเด็นเป็นเรื่องของการเรียกค่าไถ่ มีการพูดถึงทรัพย์มรดกไป ทั้งที่ฝ่ายภรรยาเคยพูดไปแล้วว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ และทางแพทย์หญิงก็ไม่เคยเรียกร้องทรัพย์มรดกใดๆ เลย ส่วนเรื่องการหายตัวของคุณหมอ ทางภรรยาก็แจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอน
สิ่งที่ฝากถึงทางพี่ชายจะมี 2 ประเด็น คือ ขอให้ปล่อยตัวคุณหมอออกมา เราได้ยื่นฟ้องไปแล้ว ทางศาลอาญามีคำสั่งรับคำร้องไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีการนัดไต่สวนอีกครั้ง ส่วนอีกประเด็นเป็นเกี่ยวกับเรียกค่าไถ่
ทางทนายมองว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่ทางญาติจะเข้าไปยุ่งเรื่องทรัพย์มรดกของส่วนตัวคุณหมอและทรัพย์สินสมรสของส่วนตัวคุณหมอไม่ควรเกี่ยวข้องหรือมายุ่งตรงนี้ ทางทนายเลยดำเนินเรื่องนี้ไปด้วย ส่วนทางญาติของสามี ไม่ได้มีการติดต่อมาว่าจะมีการเจรจาพูดคุยกันอย่างไร