วันที่ 1 ม.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองสิงห์บุรี รับแจ้งเหตุลักทรัพย์ ในร้านค้าแห่งหนึ่ง ริมถนนสายสิงห์บุรี–ลพบุรี เจ้าของร้านสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางตรวจสอบ พบ น.ส.นพคุณ (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี เจ้าของร้าน ชี้ตัวผู้ก่อเหตุลักทรัพย์และสามารถควบคุมตัวไว้ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับตกตะลึง เพราะผู้ก่อเหตุคือ นายสมชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 83 ปี นั่งรอเจ้าหน้าที่อยู่ที่หน้าร้าน น.ส.นพคุณ กล่าวว่า นายสมชัย มีนิสัยชอบฉกฉวยข้าวของในร้านค้าละแวกนี้บ่อยครั้ง แต่เนื่องจากผู้เสียหายเห็นว่าเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่มีใครเอาเรื่อง แต่ร้านค้าทุกร้านต่างห้ามไม่ให้นายสมชัยเข้าร้านอีก ครั้งนี้นายสมชัยเดินเข้ามาในร้านแล้วหยิบเงินสดที่วางไว้ภายในร้านไป 3,000 บาท
ซึ่งตนเห็นเหตุการณ์ทันทีจึงควบคุมตัว ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ น.ส.นพคุณ ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับนายสมชัย แต่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ช่วยว่ากล่าวตักเตือน ไม่ให้นายสมชัยประพฤติตนเช่นนี้อีก ซึ่งนายสมชัยรับปากเจ้าหน้าที่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจจะช่วยนำนายสมชัยกลับบ้านพัก
ทันทีที่เดินทางมาถึงบ้านพักของนายสมชัย พบ นางยุพา (สงวนนามสกุล) อายุ 81 ปี ภรรยานายสมชัย ซึ่งทันทีที่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำสามีมาส่งที่บ้าน นางยุพาถึงกับเอ่ยปากตัดพ้อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกลับมาทำไม ไปก่อเหตุที่ไหนมาอีก แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการขั้นเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ต้องช่วยอธิบายว่าให้ใจเย็นๆ
นางยุพา เล่าว่า เดิมทีทั้งคู่เป็นชาว จ.ราชบุรี แต่ต่อมาลูกทำงานอยู่สิงห์บุรี พามาอยู่ที่สิงห์บุรีด้วย โดยสร้างบ้านให้อยู่ด้วยกันสองคนสามีภรรยา โดยลูกจะแวะเวียนมาหาบ้างเป็นครั้งคราว ต่อมานายสมชัยได้รู้จักมักคุ้นกับเพื่อนบ้านหญิงรายหนึ่ง มักมีข้าวของติดไม้ติดมือไปให้หญิงเพื่อนบ้านอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เงินทอง หรือแม้กระทั่งสังกะสีและไม้เก่าที่บ้าน ก็ขนไปให้สาวคราวรุ่นลูกหมด
ตนจึงปิดบ้านไม่ให้สามีเข้าบ้าน โดยให้นอนนอกบ้าน ซื้อมุ้งและที่นอนไว้ให้ แต่สามียังงัดบ้านเข้าไปขนทรัพย์สินอยู่ในบ้านเป็นประจำ ต่อมาเข้าไปในบ้านไม่ได้ สามีออกไปหยิบฉกทรัพย์สินตามร้านค้าในหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครเอาความเพราะเห็นเป็นผู้สูงอายุ ทำให้สามีได้ใจก่อเหตุมาเรื่อย ตนเองต้องคอยตามชดใช้เงินคืนให้เจ้าทุกข์เป็นประจำ
ครั้งนี้ต้องการให้เจ้าหน้าที่นำตัวไปดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หากใครไม่เอาเรื่องตนเองจะเป็นผู้แจ้งความเอาเรื่องเอง พราะขโมยเงินของตนและทำร้ายร่างกายตนอยู่เป็นประจำ
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่จึงโทรศัพท์ไปแจ้งกับ นายศักดิ์ (นามสมมุติ) ลูกชายของทั้งคู่ ให้เดินทางมาไกล่เกลี่ย และทันทีที่ลูกชายเดินทางมาถึง ก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับพฤติกรรมของผู้เป็นพ่อ พร้อมยินดีหากจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับผู้เป็นพ่อ
โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาอยู่นาน กว่าทั้งภรรยาและลูกชายจะยินยอม หลังจากนายสมชัยรับปากกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเลิกพฤติกรรมดังกล่าว และหากกระทำอีกก็พร้อมที่ถูกดำเนินคดี