วันที่ 20 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการยื่นฟ้อง
นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล จำเลยที่ 1 และน.ส.สมพร หรือแต๋น หลาบโพธิ์ จำเลยที่ 2 ในคดีพรากน้องขมพู่ อายุ 3 ปีเศษ
และทอดทิ้ง ณ เขาภูเหล็กไฟ เพียงลำพังโดยไม่มีอาหารและน้ำดื่ม จนถึงแก่ความตาย ระหว่างวันที่ 13-14 พ.ค. 2563
ภายหลังผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จ จำเลยทั้งสอง ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตาย และถอดเสื้อผ้าและกางเกงออก
เพื่อให้เจ้าหน้าที่และผู้พบศพเจ้าใจว่าผู้ตายถูกล่วงละเมิดทางเพศ และถูกทำร้ายถึงแก่ความคาย ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพผู้ตายหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
โดยคดีดังกล่าวศาลมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสอง กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าบริเวณที่พบศพน้องชมพู่ บนเขาภูเหล็กไฟ
ห่างจากจุดที่มีคนพบเห็นน้องชมพู่ครั้งสุดท้าย 1.5 กิโลเมตร และเป็นทางลาดชัน ประกอบบริเวณดังกล่าวตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นมีลักษณะถูกตัดด้วยของมีคม
เชื่อว่าผู้ตายอายุ 3 ปีเศษ ไม่สามารถเดินไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป
ประการแรก วันเกิดเหตุประมาณ 09.00 น. ผู้ตายเล่นอยู่หน้าบ้านพัก มีพี่สาวนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้เคียง ประมาณ 09.50 น.
พี่สาวมองหาผู้ตายไม่เห็นจึงออกตามหาย ดังนั้นผู้ตายต้องหายหัวไปก่อนช่วงเวลาดังกล่าว และพี่สาวเบิกความว่าไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้อง เชื่อว่าคนร้ายที่พาไปต้องเป็นญาติหรือบุคคลใกล้ชิด เพราะหากคนแปลกหน้าอุ้ม ผู้ตายจะร้อง
พนักงานสอบสวนตรวจสอบบุคคล 14 คน เป็นญาติ 12 คน คนใกล้ชิด 2 คน พบว่า 13 คนมีหลักฐานยืนยันที่อยู่
หรือตำแหน่งอ้างอิงจากมือถือชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ 1 ที่ไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัด
ประการที่ 2 จำเลยที่ 1 ให้การเป็นพิรุธหลายอย่าง อาทิ บอกว่าวันเกิดเหตุไปรับพระที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งว่าผู้ตายหายตัวไป
แต่ครอบครัวจำเลยมีมือถือเพียงเครื่องเดียว จึงเป็นเป็นไปได้ที่จะโทรศัพท์บอกกัน
อีกทั้งพระที่จำวัดดังกล่าวระบุว่า จำเลยไปหาประมาณ 10.00 น. และบอกว่าหลานหาย เกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ขณะนั้น จำเลยที่ 1 ที่ไม่มีมือถือติดตัว ต้องยังไม่ทราบว่าผู้ตายหายตัวไป
ประการที่ 3 พยานให้การว่าเห็นจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณสวนยางพารา โดยจำเลยที่ 1 ให้พยานบอกตำรวจว่าพบกันเวลา 07.00 น.
เพื่อไม่ให้ตำรวจสงสัย จึงเป็นข้อพิรุธว่าหากไม่ได้ทำผิด เหตุใดต้องพูดจาลักษณะดังกล่าว
ประการที่ 4 ภายหลังตำรวจสงสัยจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย เข้าตรวจค้นรถยนต์ พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น พบเส้นผม 1 เส้นมีรอยตัด
ตรงกับเส้นผมผู้ตายที่พบในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าถูกจำเลยที่ 1 ใช้ของแข็งตัดเส้นผมผู้ตาย และด้วยเส้นผมมีขนาดเล็ก จึงไม่สังเกตว่าเส้นผมตกในรถ
ทั้งนี้การสืบสวนของตำรวจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่จำเลยที่ 1 แต่เกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐาน และการตั้งข้อสันนิษญานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนดังวินิจฉัยขั้นต้น
โดยไม่ปรากฎว่าผู้เกี่ยวข้องคนใดมีสาเหตุโกรธเคือง ใส่ร้ายจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 พาผู้ตายไปเขาภูเหล็กไฟ
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี
ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก
และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้ จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
อนึ่ง คดีนี้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่า
พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสำนวน ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (1)